แน่นอนว่าการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ จำเป็นต้องวางแผนเรื่องการชาร์จไฟให้กับรถ แต่ในการติดตั้ง EV Charger ไว้ที่บ้านนั้น เราต้องตรวจเช็คความพร้อมก่อนการติดตั้งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบตัวรถ ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าและจุดติดตั้ง เพื่อที่จะได้แจ้งข้อมูลเบื้องต้นกับทางเจ้าหน้าที่ติดตั้ง ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการดำเนินงานและการเลือกเครื่องชาร์จให้เหมาะสม มาดูกันเลยว่าควรเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง
1. ตรวจเช็คประเภทหัวชาร์จ
หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีหลากหลายรูปแบบตามผู้ผลิตและประเทศที่จำหน่าย สามารถแบ่งประเภทได้ดั้งนี้
1.1) หัวชาร์จสำหรับไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) Type 1 นิยมใช้ในรถยนต์ EV ฝั่งญี่ปุ่น จะมีลักษณะหัวต่อแบบ 5 Pin เป็นการชาร์จแบบไฟ 1 เฟส และรองรับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 32A หรือ 7.2 kWh
1.2) หัวชาร์จสำหรับไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) Type 2 นิยมใช้ในรถยนต์ EV ของฝั่งยุโรป จะมีลักษณะหัวต่อแบบ 7 Pin จะจ่ายไฟอยู่ที่ 3.7 kWh ในผู้ผลิตบางรายได้มีการพัฒนาให้เป็นรูปแบบการชาร์จไฟ 3 Phase ทำให้จ่ายไฟได้มากถึง 11 – 22 kWh และรถไฟฟ้าที่ขายในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นหัวชาร์จ Type 2 เนื่องจากเป็นมาตราฐานที่หน่วยงานในประเทศแนะนำไว้
1.3) หัวชาร์จ GB/T นิยมใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน มีทั้งแบบ AC และ DC ลักษณะคล้ายกับหัวชาร์จของ Type 2 แต่มีข้อต่อตัวผู้เพิ่มออกมา หัวชาร์จนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบรับความนิยมของผู้ใช้รถไฟฟ้าที่มากขึ้น
2. ตรวจเช็ค On Board Charger ของรถ
เป็นอุปกรณ์ที่จะถูกติดตั้งอยู่ภายในระบบชาร์จแบตเตอรี่ในตัวรถยนต์ EV โดยอุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับ AC เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC ทั้งนี้ขนาดของ On Board Charger จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์ EV มีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งมีผลต่อระยะเวลาในการประจุชาร์จไฟให้แบตเตอรี่
3. ตรวจเช็คขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า
เราสามารถตรวจสอบขนาดของมิเตอร์ไฟได้จากตัวมิเตอร์ไฟ โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 1 Phase 15(45) สำหรับผู้ที่ต้องการติดเครื่องชาร์จรถยนต์ ถ้ามิเตอร์ไฟ 1 Phase แนะนำให้เปลี่ยนมิเตอร์ไฟเป็นขนาด 30(100) ส่วนมิเตอร์ไฟ 3 Phase สามารถใช้ขนาด 15(45) ได้ เพื่อให้มีกำลังไฟเพียงพอสำหรับชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่เครื่องชาร์จ เนื่องจากยังต้องเผื่อการใช้งานของเครื่องใช้อื่น ๆ ภายในบ้าน
4. การเลือกจุดติดตั้งที่เหมาะสม
การเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จควรสะดวกต่อการเดินไฟจากตู้เมนไฟฟ้าภายในบ้าน ไม่ควรมีระยะห่างเกิน 5 เมตรเนื่องจากสายเครื่องชาร์จโดยทั่วไปความยาวจะอยู่ที่ 5-7 เมตร หากสายเครื่องชาร์จตึงเกินไปมีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายกับเครื่องชาร์จได้ และควรเลือกจุดติดตั้งที่มีหลังคา สามารถป้องกันฝนและแสงแดดได้ จะทำให้ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น